วาริน
สายโอบเอื้อ ( 2529 : 43 ) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของการเรียนรู้ไว้ว่า
กระบวนการเรียนรู้เป็นวัฎจักรของความสัมพันธ์ระหว่างสามตัวแปร คือ
1. สิ่งเร้า (Stimulus) มีความสำคัญมากสิ่งเร้าจะผ่านอวัยวะรับสัมผัสเข้ามาทางประสาทสัมผัสทั้งห้า
2. อินทรีย์
(Organism) ในสถานการณ์การเรียนรู้ที่ซับซ้อนนี้ผู้เรียนจะต้องแปลสิ่งเร้าด้วยการวิเคราะห์
สังเคราะห์ เพื่อหาทางตอบสนองในทางที่ถูกต้อง ซึ่งต้องอาศัยการรับรู้ แรงจูงใจ ทัศนคติ
สติปัญญา ทักษะและประสบการณ์เดิมมาช่วย
3. การตอบสนอง
(Response) การเรียนรู้นั้นพิจารณาจกการกระทำหรือการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่ประสบ
ซึ่งเป็นตัวแปรที่จะบอกให้ทราบว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้หรือไม่อย่างไรและรวดเร็วเพียงใด
เพราะเราสามารถวัดจากการเรียนรู้ของผู้เรียนได้จากตัวแปรนี้
อารี
พันธ์มณี ( 2534 : 88 ) ได้กล่าวว่า
การเรียนรู้ประกอบด้วยสิ่งต่างๆ ดังนี้
1. แรงขับ
(Drive) เกิดขึ้นเมื่ออินทรีย์ (Organsim) ขาดสมดุล เช่น ขาดอาหาร ขาดน้ำ ขาดการพักผ่อน ฯลฯ
ภาวะเหล่านี้จะกระตุ้นให้อินทรีย์แสดงพฤติกรรมเพื่อปรับให้อินทรีย์อยู่ในสภาพสมดุลอย่างเดิม
แรงขับมีอยู่ 2 ประเภท คือ
1.1 แรงขับพื้นฐาน
(Primary Drive) เกิดเนื่องจกความต้องการที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต
เป็นความต้องการทางร่างกายต่างๆที่เกิดขึ้น พร้อมๆกับการมีชีวิตของคน
1.2
แรงขับที่เกิดจากการเรียนรู้ (Secondary Drive) เกิดขึ้นภายหลัง เป็นความต้องการทางสังคม เช่น ความรัก ฐานะทางสังคม
ความมั่นคงปลอดภัย
2. สิ่งเร้า
(Stimulus) เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้อินทรีย์แสดงกิจกรรมโต้ตอบออกมา
เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมตอบสนองของร่างกาย
3. การตอบสนอง
(Response) เป็นพฤติกรรมหรือกิจกรรมที่อินทรีย์แสดงออกมาเมื่อมีสิ่งเร้าไปเร้า
4. การเสริมแรง
(Reinforcement) เป็นการทำให้สิ่งเร้าและการตอบสนองมีความสัมพันธ์กันมากยิ่งขึ้น
เช่น เมื่อนักเรียนทำเลขถูกก็เสริมแรงโดยการให้รางวัล การเสริมแรงนี้จะทำให้นักเรียนอยากเรียน
ในคราวต่อไป
นราพร
เล็กสุขุม ( ม.ป.ป. : 15 ) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ไว้ว่า
การที่คนเราสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายประการด้วยกัน
เช่น ตัวผู้เรียน บทเรียน วิธีการจัดการเรียนการสอน ฯลฯ ซึ่งจะแยกกล่าวแต่ละองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้
ดังนี้
1.
ตัวผู้เรียน ซึ่งได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ
1.1 วุฒิภาวะ คือ การเจริญเติบโตเต็มที่สูงสุดในระยะใดระยะหนึ่งที่พร้อมจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เหมาะสมกับวัย ดังนั้นวุฒิภาวะจึงเป็นองค์ประกอบในตัวผู้เรียนอย่างหนึ่งที่ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้
1.1 วุฒิภาวะ คือ การเจริญเติบโตเต็มที่สูงสุดในระยะใดระยะหนึ่งที่พร้อมจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เหมาะสมกับวัย ดังนั้นวุฒิภาวะจึงเป็นองค์ประกอบในตัวผู้เรียนอย่างหนึ่งที่ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้
1.2 ความพร้อม
คือ สภาพของคนที่มีวุฒิภาวะ รวมทั้งความสนใจและประสบการณ์เดิม
ที่จะทำให้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ดี ดังนั้นความพร้อมจึงทำให้การเรียนรู้ได้ผลดีและรวดเร็ว
1.3 ประสบการณ์เดิม
ผู้ที่มีประสบการณ์มากจะทำให้เกิดการเรียนรู้ต่างๆได้มาก เร็ว
และดีกว่าผู้ที่มีประสบการณ์น้อย
1.4 อายุ
นักจิตวิทยาพบว่ายิ่งอายุมากขึ้นความสามารถในการเรียนรู้จะลดลง นั่นคือความสามารถในการเรียนรู้ถึงขีดสูงสุด
เมื่ออายุ 20 ถึง 25 ปี หลังอายุ 35
ปี ไปแล้วความสามารถในการเรียนรู้จะลดลงไปเรื่อยๆ
1.5 แรงจูงใจ
เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ได้ดี บางคนอาจเรียนรู้ได้ดีแต่ไม่เต็มที่ตามความสามารถของเขา
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะขาดแรงจูงใจ
ดังนั้นการเรียนรู้จะได้ผลดีถ้าผู้เรียนมีแรงจูงใจที่จะเรียน
1.6 ระดับสติปัญญา
ผู้ที่มีระดับสติปัญญาสูงจะมีความสามารถในการเรียนรู้ดีกว่าผู้ที่มีระดับสติปัญญาต่ำ
1.7 อารมณ์
ผู้ที่มีอารมณ์ปกติจะสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆดีกว่าผู้ที่มีอารมณ์ไม่มั่นคง
หรือมีความกระวนกระวายใจ วิตกกังวล
1.8 สภาพร่างกาย
ผู้ที่มีสภาพร่างกายปกติก็จะเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ดีกว่าผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกาย
คนที่หูหนวก ตาบอด เป็นใบ้ มีโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ฯลฯ ยิ่งมีความบกพร่องมากเท่าใด
ความสามารถในการเรียนรู้ก็จะมีน้อยลงเท่านั้น
2. บทเรียน
ซึ่งมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ ได้แก่
2.1
ความยากง่ายของบทเรียน บทเรียนที่ง่าย จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้เร็วกว่าบทเรียนที่ยาก
2.2 ความยาวของบทเรียน
บทเรียนที่มีความยาวมากย่อมทำให้เกิดเกิดการเรียนรู้ได้ช้ากว่าบทเรียนที่มีความสั้นกว่
2.3 การมีความหมายของบทเรียน
บทเรียนที่มีความหมายจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้ดีกว่าบทเรียนที่ไม่มีความหมาย
3. วิธีจัดการเรียนการสอน
ได้แก่
3.1
กิจกรรมในการจัดการเรียนการสอน ถ้าให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสม
จะทำให้เด็กเกดการเรียนรู้ได้ดีและนวดเร็ว
3.2 การใช้เครื่องล่อใจ
(Incentive) เช่น การให้รางวัล การแข่งขัน ฯลฯ จะช่วยกระตุ้นให้เด็กอยากเรียนรู้เร็วขึ้น
จึงทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ดี
3.3 การแนะแนวในการเรียน
ถ้าครูแนะแนวเด็กได้ถูกต้องเหมาะสมจะช่วยให้เด็กเรียนได้ดีขึ้น นั่นคือต้องระวังว่าถ้าแนะแนวเด็กมากไป
จะทำให้เด็กไม่เป็นตัวของตัวเองและถ้าแนะแนวเด็กน้อยไปอาจทำให้เด็กปฏิบัติตัวไม่ถูกต้องได้
3.4 การส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการถ่ายโอนการเรียนรู้
เช่น นำสิ่งที่เรียนไปใช้ประโยชน์ในสถานการณ์อื่นได้
ซึ่งจะทำให้การเรียนรู้คงทนถาวรยิ่งขึ้น
3.5 ช่วงเวลาในการเรียน ถ้าจัดให้ผู้เรียนได้เรียนช่วงก่อนพักกลางวันจะช่วยให้เรียนรู้ได้ดีกว่าเรียนในตอนบ่าย
3.6 การฝึกฝน เมื่อผู้เรียนได้เรียนรู้แล้วมีโอกาสฝึกฝนหรือกระทำซ้ำๆ อยู่เสมอ จะทำให้การเรียนรู้นั้นมีความมั่นคงถาวร
3.5 ช่วงเวลาในการเรียน ถ้าจัดให้ผู้เรียนได้เรียนช่วงก่อนพักกลางวันจะช่วยให้เรียนรู้ได้ดีกว่าเรียนในตอนบ่าย
3.6 การฝึกฝน เมื่อผู้เรียนได้เรียนรู้แล้วมีโอกาสฝึกฝนหรือกระทำซ้ำๆ อยู่เสมอ จะทำให้การเรียนรู้นั้นมีความมั่นคงถาวร
ดังนั้นการที่คนเราสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ดีหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่างซึ่งได้แก่
ตัวผู้เรียน บทเรียน วิธีจัดการเรียนการสอน สิ่งเร้า แรงขับ และการตอบสนอง ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนอยากเรียนรู้เร็วขึ้น
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ดี และได้ผลดี นอกจากนี้องค์ประกอบเหล่านี้ยังทำให้ผู้เรียนสามารถนำสิ่งที่เรียนนั้นไปใช้ประโยชน์ในสถานการณ์อื่นได้
และทำให้การเรียนรู้ของผู้เรียนคงทนถาวรยิ่งขึ้นอีกด้วย
เอกสารอ้างอิง
นราพร เล็กสุขุม. (ม.ป.ป.). จิตวิทยา. ม.ป.ท.: ม.ป.ท.
วารินทร์ สายโอบเอื้อ. (2529). จิตวิยาการศึกษา(พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สยามยูเนี่ยน.
อารี พันธ์มณี.(2534). จิตวิทยาการเรียนการสอน. กรุงเทพฯ: บริษัทเลิฟแอนด์ลิฟเพรส จำกัด.
นราพร เล็กสุขุม. (ม.ป.ป.). จิตวิทยา. ม.ป.ท.: ม.ป.ท.
วารินทร์ สายโอบเอื้อ. (2529). จิตวิยาการศึกษา(พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์สยามยูเนี่ยน.
อารี พันธ์มณี.(2534). จิตวิทยาการเรียนการสอน. กรุงเทพฯ: บริษัทเลิฟแอนด์ลิฟเพรส จำกัด.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น